ทำไมคนญี่ปุ่นถึงเลือกปลิดชีพตนเองในป่า - Book Time: be wise in time
บทความ

ทำไมคนญี่ปุ่นถึงเลือกปลิดชีพตนเองในป่า
2025-12-02 โดย บ.ก.
แชร์: line

 

จากนี้อีกไม่นาน ดาวเคราะห์น้อยเทลอสจะพุ่งชนโลก… 

เสียงประกาศใน “ฆาตกรรมครั้งสุดท้ายในวันสิ้นโลก” ดังขึ้นราวสัญญาณเตือนให้ทั้งประเทศหยุดหายใจ ความโกลาหลแผ่ไปทั่วญี่ปุ่นในพริบตา ความหวังถูกกลืน เมืองที่เคยเป็นระเบียบกลับกลายเป็นดินแดนไร้กฎหมาย 

ท่ามกลางความปั่นป่วน โคฮารุหญิงสาวที่แค่อยากเรียนขับรถ—กลับพบศพหญิงที่ถูกแทงพรุนในกระโปรงหลังรถฝึกขับ เพียงเสี้ยววินาที “ความตายตรงหน้า” ได้กลายเป็น “คดีฆาตกรรมสุดท้าย” ก่อนโลกจะดับสลายให้เธอต้องตามสืบ

แต่สิ่งที่น่าหดหู่กว่าคดีฆาตกรรม คือภาพที่ผู้เขียนนำเสนอ—ป่าลึกที่เต็มไปด้วยร่างคนห้อยลงมาจากกิ่งไม้หลายสิบชีวิต—แม้โลกจะเหลือเวลาอีกเพียงสองเดือน แต่ชาวเมืองจำนวนมากกลับเลือกปิดฉากชีวิตด้วยตัวเอง ในป่า...ที่เงียบ...มืด...และตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์

ภาพนี้อาจฟังดูเป็นเพียงฉากหนึ่งในนิยาย แต่ความจริงคือ เรื่องราวแบบนี้ยังคงเกิดขึ้นในสังคมญี่ปุ่นปัจจุบัน


ป่าที่เงียบงัน… และเสียงสุดท้ายของมนุษย์ 

หลายคนคงเคยได้ยินชื่อป่า อาโอกิงาฮาระ (Aokigahara) ป่าทึบเชิงภูเขาฟูจิที่คนมักเรียกว่า “ป่าฆ่าตัวตาย” สถานที่ที่ความเงียบ ความมืด และต้นไม้หนาทึบทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ ที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงป่าใหญ่ธรรมดา แต่เป็นพื้นที่ที่หลายคนเลือกใช้เป็นลมหายใจสุดท้ายของชีวิต สะท้อนให้เห็นทั้งวิกฤตสุขภาพจิต และสายสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างคนญี่ปุ่นกับธรรมชาติ

ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น “ป่า” ถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่สถิตของวิญญาณหรือ “ยูเร” (yurei) สิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ ผู้คนจึงอาจมองว่า การตายท่ามกลางธรรมชาติ จึงอาจถูกมองว่าเป็นการ “กลับคืนสู่ที่เดิม” ราวกับวัฏจักรที่สมบูรณ์เมื่อร่างกายและจิตวิญญาณกลับไปอยู่ในที่ที่มันเคยถือกำเนิดขึ้นมา


การฆ่าตัวตายในญี่ปุ่น: เรื่องที่ไม่ใช่ “ความอับอาย” 

เช่นเดียวกับความเชื่อเรื่องการฆ่าตัวตายในญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องที่ถูกมองว่าน่าอับอายเหมือนประเทศอื่นๆ รากของแนวคิดนี้สืบจากสมัยซามูไร—ยุคที่การทำ “เซ็ปปุกุ” (seppuku) ถือเป็นการรักษาเกียรติเมื่อเผชิญความล้มเหลว แม้จะผ่านมาเนิ่นนาน แต่แนวคิดเรื่อง “ศักดิ์ศรี” และ “การรับผิดชอบด้วยตัวเอง” ก็ยังหลงเหลืออยู่ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นปัจจุบัน 

เมื่อรวมกับความกดดันของสังคมญี่ปุ่นที่ผูกกับความคาดหวังสูงลิ่ว หลายคนจึงรู้สึกว่าเมื่อไม่สามารถ “ทำหน้าที่” ได้ตามมาตรฐาน การหายไปอย่างเงียบๆ คือทางเลือกสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ ป่าอาโอกิงาฮาระจึงกลายเป็นปลายทางของผู้ที่หมดแรงจะต่อสู้

ญี่ปุ่นในโลกจริง: ความพยายามหยุดโศกนาฏกรรม 

ปัจจุบัน รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามลดปัญหานี้ ทั้งการติดกล้องวงจรปิด การเพิ่มเจ้าหน้าที่ลาดตระเวน และการติดป้ายข้อความให้กำลังใจผู้ที่กำลังสิ้นหวัง รวมถึงป้ายข้อความที่กระตุ้นให้ผู้ที่รู้สึกสิ้นหวังขอความช่วยเหลือ แต่ความเงียบของป่ากับความเจ็บปวดของมนุษย์ ก็ยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องการเวลายาวนานในการเยียวยา

ปรากฏการณ์การฆ่าตัวตายในอาโอกิงาฮาระจึงไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพจิต แต่เป็นกระจกสะท้อนวัฒนธรรม ความกดดัน และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติที่กินเวลายาวนานหลายศตวรรษ และการทำความเข้าใจเรื่องนี้ ก็ช่วยให้เราเข้าใจหัวใจของสังคมญี่ปุ่นได้ลึกยิ่งขึ้นเช่นกัน

เมื่อมองป่าในนิยาย เราได้เห็นป่าในชีวิตจริง 

“ฆาตกรรมครั้งสุดท้ายในวันสิ้นโลก” ไม่ได้เป็นเพียงนิยายสืบสวนบนฉากหลังวันสิ้นโลก แต่เป็นงานที่ชวนให้ตั้งคำถามต่อความสิ้นหวังของมนุษย์
ต่อสังคมที่กดดันจนบางคนเลือกยอมแพ้ และต่อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในช่วงสุดท้ายของชีวิต


ทดลองอ่าน : ฆาตกรรมครั้งสุดท้ายในวันสิ้นโลก - อากาเนะ อารากิ